วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปีกัสโซ่ (Pablo Picasso)

การที่คนๆ หนึ่งจะกลายมาเป็นจิตรกรเอกของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย และหากมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งมีองค์ประกอบของชีวิตที่เหมาะสม คือ ได้เกิด ได้อยู่ในครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก  จึงไม่ยากเลยที่คนๆ นั้นจะเกิดแรงบันดาลใจและจินตนาการในการสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นได้อย่างไร้ขอบเขต 


        เรากำลังพูดถึงจิตรกรชาวสเปนคนนี้ ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ่ (Pablo Ruiz Picasso) ผู้ที่มีผลงานภาพวาด ชื่อGarcon a la Pipe เป็นภาพวาดเด็กชายถือไปป์และมีมงกุฎดอกไม้ประดับไว้บนศรีษะ ซึ่งมีราคาแพงเป็นอันดับ 3 ของโลก คือ 106,910,000  ดอลล่าร์สหรัฐ  ปิกัสโซ่ วาดภาพนี้ ขณะที่อาศัยอยู่ที่ Montmartre ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ 1950  ขณะที่เขามีอายุเพียง 24 ปี 

        ภาพวาดที่มีราคาแพงที่สุด เป็นอันดับที่ 3 ของโลก "Garcon la Pipe"

        ปิกัสโซ่ (Picasso)  เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1881  ที่เมืองมาลากา แคว้นอันดาลูเซีย ประเทศสเปน เขาเป็นบุตรชายคนโตของ คอนโคเซ รุยซ์ อี บลัสโก (Don Jose Ruiz สเปน : Don José Ruiz y Blasco) ซึ่งมีอาชีพเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย กับมารีอา ปีกัสโซ อี โลเปซ (Maria Picasso Ruiz ; สเปน : María Picasso y López)  
        ปิกัสโซ่ (Picasso) เป็นเด็กที่แปลกกว่าเด็กทั่วไปที่ปกติจะต้องเรียก แม่ เป็นคำพูดแรก  แต่คำแรกของปิกัสโซ่ กลับเป็นคำว่า “piz, piz” ซึ่งมาจากคำว่า “lapiz (ลาปิซ) ซึ่งแปลว่า ดินสอ ในภาษาสเปน
        ปิกัสโซ่ (Picasso) ได้รับของขวัญเป็นจานสีและพู่กันเมื่อเขามีอายุได้เพียง 6 ขวบ  ความเป็นศิลปินฉายแววตั้งแต่เด็กและเด่นชัดอีกครั้งจากความบังเอิญ เมื่อบิดาซึ่งกำลังวาดภาพนกพิราบ ลุกออกจากห้องเพื่อไปทำธุระอะไรบางอย่าง และปิกัสโซ่เข้ามาวาดรูปนั้นแทนจนเสร็จ ยังความประหลาดใจให้กับบิดาเมื่อเขากลับเข้ามาในห้องนั้น เพราะภาพวาดนกพิราบที่ปิกัสโซ่วาดไว้ นอกจากจะสวยงามแล้วก็ยังเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์อีกด้วย
        ปิกัสโซ่ (Picasso)  สร้างสรรค์งานศิลปะได้หลายรูปแบบ ไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงภาพวาด (drawing) หรือภาพวาดสีด้วยพู่กัน (painting) แต่เขายังสามารถทำ รูปปั้น รูปหล่อ (sculpture) ภาพพิมพ์ (printmaking) เครื่องเคลือบดินเผา (ceramics)  รวมทั้งใช้วัสดุอื่นๆ มาประยุกต์ให้เป็นผลงานศิลปะได้อีกด้วย เช่น การใช้ชิ้นส่วนเก่าของรถจักรยานมาทำงานหล่อที่ชื่อว่า Bull’s Head 
ภาพเขียนของปีกัสโซแบ่งเป็นช่วงต่าง ๆ ได้ ดังนี้
1. Blue Period ค.ศ. 1901-1904 (ยุคสีน้ำเงิน)

2.Rose Period ค.ศ. 1904-1906 (ยุคสีชมพู)

3.African-Influenced Period ค.ศ. 1906 - 1907
 

4.Cubism ค.ศ. 1909 - 1912 (บาศกนิยม)

5.Classicism and surrealism  ค.ศ. 1913 - 1945 (ยุคคลาสสิกและเหนือจริง)
 

6.Later works ค.ศ. 1946- 1973 (ยุคสุดท้าย)
 

        หลังจากฝากผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าไว้มากมายบนโลกใบนี้ ปีกัสโซ่ ก็จากโลกนี้ไปในปี ค.ศ. 1973  ขณะที่เขามีอายุได้ 91 ปี
        ปิกัสโซ่ (Picasso) มีชีวิตที่แตกต่างจากศิลปินคนอื่นๆ ตรงที่เขาได้รับการยกย่องให้เป็นจิตรกรเอกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่  เขามีโอกาสได้ชื่นชมความสำเร็จของตัวเอง และร่ำรวย ต่างจากจิตรกรคนอื่นๆ ที่มักจะมีชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิตไปแล้วและในขณะอยู่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

วินเซนต์ แวนโก๊ะ ( Vincent Van gogh )

 

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าชื่อเสียง ของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเอาในช่วง 3 ปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี ก็ตาม แต่เขาก็ได้สร้างอิทธิพลต่อ ศิลปะแบบอิมเพรสเช่นนิสท์ แบบโมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ ซึ่งตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ ความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของ แวน โก๊ะนั้นแสดงออกมาทางภาพที่เขาเขียน ด้วยการใช้สีอันร้อนแรง การปัดพู่กันแบบหยาบๆ และรูปแบบของลายเส้นที่ใช้จนในที่สุดก็ได้ผลักดันให้เขา จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย

วินเซนต์ แวน โก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี ค.ศ. 1853 ที่ซันเดิรท์ ย่านบราแบรนท์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ วินเซนต์เป็นบุตรชายคนโต บิดาเป็นนักบวชนิกาย โปรแตสแตนท์ เมื่อแวนโก๊ะอายุได้ 16 ปี เขาได้ไปฝึกงานขายภาพศิลปะที่ฮูเก้นท์ เขาทำงานขายภาพทั้งในลอนดอน และปารีสไปจนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1876

แวน โก๊ะก็เริ่มตระหนักว่า เขาไม่ชอบงานขายภาพที่เขาทำอยู่เลยประกอบกับถูก ปฏิเสธความสัมพันธ์จากหญิงที่ตนรัก ทำให้เขาเริ่มทำตัวออกห่างจากผู้คนมากขึ้น และตัดสินใจที่จะออกบวช แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขา ไม่สามารถผ่านการทดสอบให้เข้ามาเป็นนักบวชได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเทศน์ไป และในปีค.ศ.1878 เขาได้เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบลเยี่ยมเพื่อทำการ เผยแพร่ศาสนา โดยพกพาเอาความยากจนค่นแค้นไปตลอดการเดินทางจากการเดินทาง ครั้งนี้ แวนโก๊ะ ได้มีปากเสียงกับนักเทศน์ผู้อาวุโส ทำให้เขาถูกขับออกจากกลุ่มในปี ค.ศ.1880 ในสภาพของคนสิ้นไร้ และสูญเสียความเชื่อของตนไป เขาจมอยู่กับ ความผิดหวัง และได้เริ่มเขียนรูป แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถที่จะ เรียนรู้การเขียนภาพด้วยตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปบรัสเซลเพื่อเรียน การเขียนภาพ

ในปี ค.ศ.1881 แวน โก๊ะได้กลับมาทำงานที่ฮูเก้นท์อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มทำงานกับ ช่างเขียนภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ชื่อ อันตน มัวร์ ฤดูร้อนของปีถัดมาได้เริ่มการทดลอง การเขียนภาพด้วยสีน้ำมัน และด้วยเสียงเรียกร้องภายในจิตใจของ แวน โก๊ะ ให้ไปใช้ ชีวิตตามลำพังอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวดัชท์ เพื่อเริ่มการเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงามตามท้องที่ต่างๆ เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับ การเขียนถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขา ในปี ค.ศ.1883 เขาได้สร้างงานเขียนภาพชิ้นแรก ขึ้นมา โดยให้ชื่อภาพว่า " โปเตโต อีทเตอร์ "

เมื่อความเหงาและความอ้างว้างเริ่มเข้ามาแกาะกุมจิตใจของ แวน โก๊ะ เขาจึงออกจาก หมู่บ้านและเข้าศึกษาต่อที่ แอนท์เวอป์ ในเบลเยี่ยม แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติ ตามกฎของการเรียนที่นั่นมากนัก ช่วงที่เรียนอยู่ที่แอนเวอป์ เขาได้รับแรงบันดาลใจ จากจิตรกรที่ชื่อ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และได้เริ่มสนใจภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นด้วย ในที่สุด เขาก็ได้เลิกเรียน เพื่อไปยังปารีส ทีนั่นเขาได้พบกับ เฮนรี่ เดอ ตัวรูส และจอร์จีนส์ รวมทั้งศิลปินอิเพราสเช่นนิสท์อีกหลายคน เช่น คามิล ปิสซาโร โซรัส และคนอื่น ๆ การใช้ชีวิต 2 ปีเต็มที่ปารีสนั้น ได้ขัดเกลาฝีมือในการเขียนภาพของ แวน โก๊ะ ให้ เฉียบคมยิ่งขึ้น เขาเริ่มใช้สีสันที่มีชีวิตชีวา และไม่ยึดติดอยู่กับการเขียนภาพแบบเก่าๆ

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ใช้ชีวิตในตัวเมืองปารีส ได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงออกจากปารีส ไปในปี ค.ศ.1888 เพื่อไปยังเมืองอาเรสทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ที่เมืองอาเรสนั้นแวน โก๊ะได้เช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วตกแต่งบ้านด้วยสีเหลืองทั้งหมด เขาหวังที่จะตั้ง กลุ่มศิลปินอิมเพรสเช่นนิสท์ขึ้น ในเดือนตุลาคม จอร์จีนส์ได้มาอยู่ร่วมกับเขาแต่ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ต้องขาดสะบั้นลงในคืนวันคริสตมาส อีฟ จอร์จีนส์ ได้โต้เถียงอย่างรุนแรงกับแวน โก๊ะ ทำให้แวน โก๊ะ เกิดบ้าเลือดขึ้นมาแล้วตัดใบหู ของตัวเอง ทำให้จอร์จีนส์จากไป และตัวของเขาเองต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแสดงอาการต่างๆ ของแวน โก๊ะ นั้น ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและประสาทที่ผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เมื่อ แวน โก๊ะ ออกจากโรงพยาบาล เขาได้ไปอาศัยอยู่กับศิลปิน นักฟิสิกส์ ได้ประมาณ 2 เดือน และในวันที่ 27 กรกฎาคมของปี ค.ศ.1890 เขาได้ยิงตัวเอง และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา

ช่วงชีวิตของ แวน โก๊ะตอนที่อยู่ที่อาเรสนั้น ได้สร้างผลงานเขียนภาพที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ มากมาย เขาเขียนภาพของธรรมชาติอันงดงาม ภาพทุ่งหญ้ายามต้องแสงอาทิตย์ ภาพของดอกไม้นานาชนิด และภาพดอกไอริสที่มีชื่อเสียงนั้นสามารถขายได้ถึง 53.9 ล้านดอลลาร์ในเวลานั้น
  • ค.ศ.1353 วินเซนต์ แวนก๊อก เกิดเมื่อวันที่30 มีนาคม ประเทศ ฮออลแลนด์
  • ค.ศ.1894-68 ศึกษาชั้นต้นในท้องถิ่น
  • ค.ศ.1869 เริ่มทำงานในห้องภาพกูปีล์ในกรุงเฮก เมื่ออายุ16ปี
  • ค.ศ.1873-76 เริ่มสนใจเรื่องศาสนา หลังจากลาออกจากงานในห้องภาพได้ไปเป็นครูที่โรงเรียนในแรมสเกท เมืองเล็กๆในอังกฤษ ต่อมาย้ายไปสอนและเทศน์ที่ไอเวิลเวิร์ธ เมืองเล็กๆใกล้กรุงลอนดอน
  • ค.ศ1877 สอบเข้าคณะเทววิทยาที่มหาลัยอัมสเตอร์ดัม แต่ได้ละทิ้งการศึกษาและจุดมุ่งหมายด้านนี้เสียในเวลาต่อมา
  • ค.ศ.1878-79 เป็นนักเทศน์ผู้จาริกไปในเขตเหมืองแร่เมืองบอริเนจในเบลเยี่ยมอุทิศตนให้กับชาวเหมือ งที่วาสเมอใกล้เมืองมอนส์ โดยพยายามแก้ไขปัญหาความยากแค้นอย่างเต็มทีแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ถึงแม้จะมีศรัทธาในศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่เขารู้สึกเหมือนถูกเรียกร้องให้เป็นศิลปินมากกว่า
  • ค.ศ.1880-85 ปี1880-81 ได้ไปศึกษากับจิตกรหลายคนในกรุงบรัสเซลส์ ศึกษาในกรุงเฮกในปี1881-83และที่เมืองแอนทะเวิร์ป ระหว่าง ค.ศ.1885-86 พร้อมกับศึกษาและเขียนภาพชีวิตชนบทของชาวเหมืองและชาวไร่ชาวนา ภาพคนกินมันฝรั่งเป็นผลงานที่แสดงอิทธิพลการเขียนแบบเก่าของดัตช์
  • ค.ศ.1886-87 ย้ายไปอยู่กับธีโอน้องชายที่ปารีส ธีโอทำงานอยู่ในห้องภาพที่นั่น ดังนั้นจึงเป็นผู้กว้างขวางและรู้จักศิลปินในแวดวงหลายคน แวนก๊อกรู้จักกับศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์และสนใจศึกษาเทคนิคภาพเขียนของแปร์ตองก ีเป็นแนวทางเขียนภาพของเขา สีที่สดขึ้น การป้ายสีเป็นไปอย่างอิสระและเส้นสายเป็นลูกคลื่นที่ได้แบบอย่างจากภาพเขียนของญีปุ่ นในช่วงชีวิตนี้ธีโอคือผู้ช่วยเหลือสำคัญทั้งด้านการเงินและทางอารมณ์ของแวนก๊อก ซึ่งถูกกดดันเนื่องจากผลงานไม่เป็นที่ยอมรับ
  • ค.ศ.1888 ป่วยเป็นโรคจิตและทะเลาะกับโกแกงจนถึงกับตัดหูข้างซ้ายของตน ต่อมาได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในเมืองอาร์เลส แชร์ทเรอมีและอูฟร์
  • ค.ศ.1889-90 ย้ายไปอยู่ที่อาร์เลสเมืองชนบทในฝรั่ง เป็นระยะที่มีการพัฒนาทางศิลปะอย่างสมบูรณ์ แต่ละภาพเต็มไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรงของตัวจิตรกรที่รู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม การปรากฎของสิ่งต่างๆประจำวัน ถูกแปรเป็นแผ่นสีที่สดใสและเส้นสายที่สั่นสะเทือนเป็นลูกคลื่น อันเป็นสัญลักษณ์ของพลังสากลที่ควบคุมสรรพสิ่งในโลกไว้ ผลงานชิ้นเยี่ยมในข่วงนี้คือ ต้นไซเปรสกับหมู่บ้าน บ้านนาหลังใหญ่และดอกทานตะวัน
  • วินเซนต์ แวน โก๊ะ จบชีวิตด้วยการยิงตัวตายในวัย37ปี

ผลงาน

Starry Night Over The Rhone
วาดในปี ค.ศ.1888 ขนาด 72.5 x 92 ซม.


วินเซนต์ แวน โก๊ะ ได้ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในการเขียนรูป " Starry Night " ขึ้นมาภาพนี้ได้ แสดงถึงภาพของดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน เพื่ออวดรัศมีแข่งกับแสงสว่างอันจอมปลอมที่ส่องจากตึกรามบ้านช่องบนริมฝั่งของแม่น้ำ ภาพของหนุ่มสาวที่เดินเคียงคู่กันในด้านหน้าของภาพนั้นคล้ายกับภาพของคู่หนุ่มสาวในภาพ " Landscape with Couple Walking and Crescent Moon " ภาพทั้งสองภาพนี้ วินเซนต์ได้เขียนรูปชายที่เดินเคียงข้างหญิงสาวผู้นั้น แทนตัวของเขาเอง โดยสามารถสังเกตได้จากผมของชายในภาพซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับผมของตัวเขาแต่ต่างกันที่ในชีวิต จริงของวินเซนต์แล้ว เขาหาได้มีหญิงสาวใดมาเดินเคียงข้างเขาไม่


The Starry Night
วาดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ ขนาดภาพ 72 x 92 ซม. (29 x 36 1/4 นิ้ว)
สถานที่แสดง The Museum of Modern Art เมืองนิวยอร์ก


วินเซนต์ได้กล่าวถึงภาพ " Starry Night " นี้ว่า "ฉันกำลังประสบกับปัญหาอย่างมากใน การเขียนภาพของยามค่ำคืน ถ้าพูดให้ถูกแล้วก็คือ การถ่ายถอดภาพลงบนผืนผ้าในเวลา กลางคืนก็ได้ " ภาพของแสงสีในยามค่ำคืนนั้น เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันอยากเขียนขึ้นและความฝันของเขาก็ได้กลายมาเป็นความจริง เมื่อเขาตัดสินใจย้ายมา อยู่ที่เมืองอาเรส ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 1888 ในจดหมายเขาได้กล่าวไว้ว่า

" ในชีวิตของจิตกรแล้ว ความตายอาจไม่ใช่ความยากลำบากที่สุดในชีวิต ฉันสามารถพูดได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่เมื่อฉันได้มองดูดวงดาวแล้ว ฉันก็เริ่มนึกคิดจุดดำมืดที่แสดง ถึงภาพของเมือง และหมู่บ้านในแผนที่ ทำให้ฉันคิดว่าทำไมมนุษย์เราถึงได้ให้ความสำคัญของ จุดดำมืดที่อยู่บนแผนที่ของฝรั่งเศษ มากไปกว่า แสงสว่างอันแท้จริงที่ส่องตรงมาจากสวรรค์ มันก็คงเหมือนกับการที่เราเลือกไป รถไฟเพื่อจะไปยังทาราสคอน หรือโรน หรือเราจะเลือก เอาความตายเพื่อจะไปให้ถึงดวงดาวบนฟ้านั่น "

Vincent’s Bedroom

ตั้งแต่วินเซนต์ได้ทราบข่าวจากโกแกง ว่าเขาจะเดินทางมาร่วมกับ วินเซนต์ที่บ้านสีเหลืองนี้ วินเซนต์ก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อคอย การมาของเพื่อนของเขา เขาตกแต่งบ้านเสียใหม่โดยเขียนภาพอีก หลายภาพขึ้นเพื่อใช้ตกแต่งฝาผนัง และห้องนอนของโกแกง ภาพห้องนอนของวินเซนต์นี้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่เซนต์เรมี ได้สร้างภาพจำลองขึ้น อีกสองภาพจากภาพต้นฉบับจริงที่เขาเขียนขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมของ ปี ค.ศ.1888 ในขณะที่เขากำลังรอคอยให้โกแกงมาพักอยู่ด้วย วินเซนต์ได้ยกย่องให้ภาพนี้เป็นหนึ่ง ในภาพที่ดีที่สุดของเขา โดยได้เขียนบรรยายไว้ในจดหมายถึง ธีโอพี่ชายของเขาว่า

" ถ้าจะให้พูดถึงภาพนี้แล้ว การได้มองดูภาพนี้ก็เปรียบเสมือนการได้พักผ่อนสมอง และปลดปล่อยจินตนาการให้เพ้อฝันไกลออกไป " ภาพห้องนอนของวินเซนต์ได้กลายมา เป็นภาพที่มีชื่อเสียงในทางศิลปะ ความเรียบง่ายของภาพ แสดงให้เห็นถึง ครรลองของชีวิตที่สมถะ และเรียบง่าย หรือในอีกแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ภาพนี้ได้แสดงถึงมุมมองของ ศิลปินในยุคโรแมนติคผู้หนึ่ง ซึ่งอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับงานศิลปะเท่านั้น


Vegetable Gardens in Montmartre
วาดในปี ค.ศ.1887 ขนาดภาพ 96 x 120 ซม.


Landscape at Saint-Romy วาดเมื่อปี ค.ศ.1889
สถานที่แสดง Ny Carlsberg Glypotek เมือง Copenhagen


Still Life With Four Sunflowers
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ. 1887 เมือง Otterlo


Montmartre


View of Arles with Irises
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1888 ขนาดภาพ 54 x 65 ซม.


Irises (pink/gree)
วาดภาพเมื่อ พ.ค. ปี ค.ศ.1890
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ ขนาดภาพ 73.7 x 92.1 ซม.
สถานที่แสดง The Metropolitan Museum of Art เมืองนิวยอร์ก


Trees in the Asylum Garden
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ
ขนาดภาพ 73 x 60 ซม. (28 3/4 x 23 3/4 นิ้ว)
ประเทศสหรัฐอเมริกา

ไมเคิลแองเจโล ( Michelangelo )

 ไมเคิลแองเจโล เป็นจิตรกรสถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี  เกิดเมื่อ วันที่ 6 มีนาคม
 
ค.ศ. 1475 เป็นบุคคลสำคัญด้านงานศิลปะในยุค  ยุคเรเนอซองส์ ซึ่งเป็นยุคเดียวกับ บุคคลสำคัญ
 
คนอื่นๆของโลก คือ เลโอนาร์โด ดา วินชี ,  เซอร์ไอแซก นิวตัน , กาลิเลโอ กาลิเลอี   เป็นต้น

 
งานเขียนของเขาเป็นที่ยอมรับว่าสุดยอดหรืองานประติมากรรมอื่นๆของ ไมเคิลแองเจโล ก็จัดอยู่
 
ในงานศิลปะชิ้นเอกมากมายอย่างเช่น รูปแกะสลักเดวิด ที่เมืองฟลอเรนซ์ ทำมาจากหินอ่อนรูปปั้นนี้
 
ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เขามีชื่อเสียงและสำคัญขนาดถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อ
 
ออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้าง
 
มหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม 
 

ซึ่งเป็นมหาวิหารนักบุญเปโตร เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก เป็นมหาวิหารเอกหนึ่งในสี่แห่ง
 
ในกรุงโรม นครรัฐวาติกันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิม
 
ที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารสูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม โบสถ์นี้ตั้งอยู่ใน
 
เนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งใน
 
คริสตจักรโรมันคาทอลิก 
 

นอกจาก รูปสลักดาวิด กับเรื่อง มหาวิหารแล้วก็ยังมีผลงานอย่าง

The Last Judgement  เป็นจิตรกรรมฝาผนังชาเปลซิสติน, นครรัฐวาติกัน

The Creation of Adam พระเจ้าสร้างอาดัม

Doni Tondo หรือ Doni Madonna

เป็นต้น

ไมเคิลแองเจโล เกิดวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 Caprese near Arezzo, Republic of Florence
 
(ปัจจุบันคือ Tuscany ใน Italy)

วันเสียชีวิต 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 (88 ปี) Rome, รัฐสันตะปาปา (ใน Italy)

ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์
 
แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมบุคคลาการด้านงานศิลป์ที่ยิ่งใหญ่
 
คนนึงของโลก

มหาวิหารโนเทรอดาม


มหาวิหารแรงส์ หรือ มหาวิหารนอเทรอดามแห่งแรงส์ (Cathédrale Notre-Dame de Reims) เป็นมหาวิหารของเมืองแรงส์ ประเทศฝรั่งเศส ที่เคยใช้ในพิธีสวมมงกุฎกษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศส มหาวิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างบนมหาวิหารเดิมที่ถูกไหม้ไปเมื่อค.ศ. 1211 ที่พระเจ้าโคลวิสที่ 1ผู้ถือกันว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกของฝรั่งเศสได้ทำพิธีรับศีลจุ่มจากนักบุญเรมี (St. Remi) บาทหลวงของเมืองแรงส์เมื่อค.ศ. 496

เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ที่มีความสวยงามสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระแม่มารี ลักษณะเด่นของวิหารแห่งนี้คือหอคอยคู่ที่อยู่ด้านหน้า และความงดงามของปลายแหลมยอดโบสถ์ และรูปปั้นด้านหน้าของพระแม่มารี ส่วนภายในมีลักษณะเป็นห้องโถงโล่งมีทางยาวไปยังแท่นพิธี อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ท่านสะดุดตาก็คือ Rose Window กระจกสีทรงกลมที่มีกลีบเหมือนกลีบดอกกุหลาบสวยงามมาก มหาวิหารนอเทรอดามแห่งแรงส์ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1991

การก่อสร้าง
มหาวิหารสร้างเสร็จเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ยกเว้นด้านหน้าซึ่งมาเสร็จเอาอีกศตวรรษหนึ่งต่อมา แต่ยังเป็นสถาปัตยกรรมของ คริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางเดินกลางขยายให้ยาวขึ้นเพื่อให้มีเนื้อที่เพียงพอกับผู้ที่เข้าร่วมพิธี สวมมงกุฎ หอสูง 81 เมตรย่อจากแบบเดิมที่ออกแบบให้สูง 120 เมตร หอด้านใต้มีระฆังสองใบ ใบหนึ่งคาร์ดินาลแห่งลอเรนตั้งชื่อให้ว่า “ชาร์ลอต” เมื่อปีค.ศ. 1570 ซึ่งหนักกว่า 10,000 กิโลกรัมหรือ 11 ตัน

เมื่อปี ค.ศ. 1875 รัฐสภาแห่งประเทศฝรั่งเศสอนุมัติเงินจำนวน 80,000 ปอนด์เพื่อปฏิสังขรณ์ด้านหน้ามหาวิหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของมหาวิหาร และนับว่าเป็นงานฝีมือชิ้นเอกจากยุคกลาง เมื่อมหาวิหารโดนระเบิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ ได้ทำลายบริเวณสำคัญๆ ของมหาวิหารไปมาก การบูรณะปฏิสังขรณ์เริ่มอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1919 และมาเสร็จเมื่อในปี ค.ศ. 1938 แต่การซ่อมก็ยังทำต่อเนื่องกันมาโดยมิได้หยุดยั้งจนทุกวันนี้

8ขนมหวานขึ้นชื่อระดับโลก

ทีรามิสุ
TIRAMISU
เค้กอิตาเลียนยอดนิยมที่ร้านอาหารฝรั่งไหนๆก็ทำขาย
ชื่อทีรามิสุนั้น แปลว่า Pick-me-up หรือ ‘ปลุกทีเถอะ’ ทั้งนี้ก็เพราะตามตำรับ ทีรามิสุจะต้องมีชั้นเค้กชุ่มน้ำกาแฟเอสเพรสโซเป็นองค์ประกอบหลัก ประพรมเสียให้ดีด้วยเหล้ารัม จากนั้นจึงละเลงความหอมมันของครีมมาสคาโปนซ้ำลงไปอีกที และตัดรสด้วยผงโกโก้โรยหน้าพอขมๆ คนกินแล้วก็เลยกระปรี้กระเปร่ากันเป็นการใหญ่ เพราะได้เนยได้น้ำตาลเข้าไปเต็มที่ และมีกาเฟอีนชูโรง
ต้นกำเนิดของทีรามิสุนั้นไม่แน่ชัด รู้แต่ว่าไม่เก่าแก่มากนัก คือเริ่มมีเมื่อเพียงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เพราะครีมมาสคาโปนนั้น ต้องทำจากชีสกับไข่ขาวดิบ ถ้าไม่มีตู้เย็นเสียอย่างแล้ว ก็ทำทีรามิสุกินได้ยาก ส่วนผสมจะบูดก่อน
อย่างไรก็ดี มีตำนานกำเนิดทีรามิสุที่แม้คนจะรู้ว่าไม่จริง ก็ยังเล่าต่อๆกันมา ตำนานนี้บอกว่า ทีรามิสุนั้นคิดค้นขึ้นทีแรกใน Casa Chiuso ซึ่งแปลว่า ‘บ้านอันอื้อฉาว’ หรือพูดตรงๆก็คือ ซ่องอิตาลี
นัยว่าผู้ใช้บริการหรือผู้ให้บริการในบ้านที่ว่านี้ พอทำการต่างๆเรียบร้อย ก็ต้องเรียกหาทีรามิสุกันทั้งนั้น เพื่อจะปลุกตัวเองให้มีเรี่ยวมีแรงทำธุระ ไม่ต้องหลับต้องนอนกันต่อไป
มิลล์เฟย
MILLE-FEUILLE
ขนมหวานมากชั้นเชิงของฝรั่งเศส
ด้วยเหตุที่ขนมนี้มีลักษณะเป็นแป้งเพสตรี้วางซ้อนสลับกับวิปครีมหรือแยมเป็นชั้นๆ ก่อนจะแต่งหน้าให้ลายพร้อยด้วยน้ำตาลไอซิ่งและเส้นช็อกโกแลต มันจึงได้ชื่อว่ามิลล์เฟย อันแปลว่าขนมพันแผ่น ตามจำนวนชั้นของแป้ง หรือถ้าอยู่เมืองไทยก็ต้องเรียกว่าขนมชั้น
ขนมนี้บางทีอเมริกันก็เรียกว่า ‘นโปเลียน’ ซึ่งมีที่มาหลายตำนาน บ้างก็ว่าเป็นเพราะขนมนี้ใช้ขึ้นโต๊ะรับรองจักรพรรดินโปเลียนคราวเยือนเดนมาร์ก บ้างก็ว่านี่เป็นชื่อซึ่งกร่อนเสียงมาจากคำว่าเนโปลิแตน อันหมายถึงขนมของชาวเนเปิลส์ซึ่งนิยมกินแป้งชั้นเช่นกัน บางทีก็อ้างกันถึงขนาดที่ว่าลายเส้นช็อกโกแลตบนหน้าไอซิ่งอันขาวโพลนนั้น ดูเหมือนตัว N เลยมีชื่อว่านโปเลียน
แต่จะเป็นตำนานไหนก็ตาม ปรากฏว่าชาวฝรั่งเศสไม่เรียกด้วยทั้งนั้น ซึ่งว่ากันว่าเป็นเพราะมิลล์เฟยเป็นขนมที่นโปเลียนกินแล้วกินอีกในคืนก่อนศึกวอเตอร์ลู จนทำให้ฝรั่งเศสแพ้หมดสารรูป
อย่างไรก็ดี นอกจากเป็นขนมหวานแล้ว ปัจจุบันนโปเลียนยังหมายถึงของคาวใดๆที่มีลักษณะเป็นแผ่นซ้อนๆกัน เช่นแผ่นแป้งหรือแผ่นหัวเผือกหัวมันฝานบางเฉียบ โดยจะสลับกับเนื้อผัก หรือชีสก็ได้
โมจิ
MOCHI
ขนมแป้งสอดไส้ถั่วของญี่ปุ่นที่โด่งดังจนคนนครสวรรค์เอามาใช้เรียกเป็นชื่อขนมเปี๊ยะ
ความจริงถ้ากล่าวโดยเคร่งครัด โมจิไม่ใช่ชื่อขนมหวานอย่างเดียว เป็นเพียงแต่คำเรียกกว้างๆสำหรับข้าวเหนียวนึ่งที่เอามาตีจนเป็นเนื้อเดียว และปั้นขึ้นรูปเท่านั้น ส่วนใครจะเอาแป้งโมจิไปทำเป็นของคาวของหวานอะไรต่อไปก็สุดแท้แต่ ซึ่งมีได้ตั้งแต่ซุปใส(โซนิ) ขนมสอดไส้(ไดฟุกุ) หรือแม้กระทั่งไอศกรีม
ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศวัฒนธรรมข้าว เมื่อถึงเวลาขึ้นปีใหม่ คนญี่ปุ่นจึงถือกันว่าต้องกินโมจิเป็นอาหารมื้อแรกเอาฤกษ์ โดยจะทำโมจิกันอย่างเป็นพิธีรีตอง เรียกว่า ‘โมชิทสุกิ’ กล่าวคือใช้คนสองคน ให้คนหนึ่งตำสากไม้ อีกคนคอยหยอดหรือกลับข้าวเหนียวนึ่งในครก สลับกันไปจนกว่าจะได้ที่ โดยคนอื่นๆในบ้านก็ช่วยกันแห่บอกจังหวะ ไม่ให้ไม้ลงไปนวดมือแทนข้าวเหนียว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการนวดโมจิก็คือตัวโมจิเอง เพราะด้วยความที่เนื้อโมจินั้นเหนียวหนืดมาก จึงปรากฏว่าในวันขึ้นปีใหม่นั้นมักจะมีคนตายเพราะโมจิติดคอกันหลายคนทุกๆปี ถึงขนาดเป็นธรรมเนียมว่า บรรดาหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นจะลงสถิติคนตายเพราะโมจิช่วงปีใหม่ อย่างเดียวกับที่บ้านเรารายงานอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์
ว่ากันว่าแม้กระทั่ง ‘Heimlich Maneuver’ อันเป็นชื่อเทคนิคการกดลิ้นปี่ เพื่อดันลมจากปอดมาไล่สิ่งของที่ติดหลอดลมเพื่อปฐมพยาบาลผู้ป่วยนั้น พอเจอโมจิชิ้นโตๆเข้าก็หมดท่าเหมือนกัน
บราวนี
BROWNIE
ลูกผสมระหว่างเค้กและคุกกี้แน่นเนื้อช็อกโกแลตตามตำรับอเมริกันแท้ๆ
เช่นเดียวกับขนมกินดีอื่นๆ ต้นกำเนิดของบราวนีนั้นไม่แน่ชัด ตำราหนึ่งว่าเชฟที่โรงแรมหรูเก่าแก่ของเมืองชิคาโกคิดค้นเค้กนี้ขึ้นมาสำหรับเป็นของหวานชิ้นย่อมๆ พอใส่กล่องข้าวให้บรรดาหญิงสาวที่มาเที่ยวงานชิคาโก เวิลด์ แฟร์(ค.ศ.1893) กินได้ถนัดๆ ไม่ล้นมือล้นปากมากนักเหมือนเค้ก
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครยืนยันได้ เพราะบราวนีนั้นเป็นของทำง่าย ผู้รู้บอกว่าโดยสาระแล้ว บราวนีก็คือเค้กช็อกโกแลต แป้ง น้ำตาล เนย ไข่ ไหนๆก็ทำได้ โดยผู้รู้บอกอีกว่าคนที่เอาผงฟูใส่บราวนี ไม่ช้าก็จะเอาผงฟูใส่มันบด
อย่างไรก็ดี สูตรบราวนีในยุคแรกๆนั้นมักจะใส่ช็อกโกแลตแต่น้อย เพราะยังเป็นสมัยที่ช็อกโกแลตยังเป็นของใหม่ และมีราคาแพง แต่ยิ่งนานไปส่วนของช็อกโกลแลตก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยังไม่นับของทรงเครื่องอันเป็นสปริวาราริอีกหลายอย่าง เช่น วอลนัท พีแคน มาร์เมลโล เนยถั่ว ครีมชีส หรือผิวสัม
ทั้งนี้ ชื่อบราวนีก็มาจากสีน้ำตาลเข้มของเนื้อเค้กนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีขนมที่เรียกว่า ‘Blondie’ อันเป็นขนมลูกพี่ลูกน้องที่มีกรรมวิธีทำคล้ายๆบราวนี เพียงแต่ใช้น้ำตาลทรายแดงให้สีและรสแทนช็อกโกแลต
แพนนา คอตตา
PANNA COTTA
พุดดิ้งรสชาติละมุนละไมลิ้นของอิตาลี
ชื่อแพนนา คอตตานั้น มีความหมายว่า ‘ครีมปรุงสุก/Cooked Cream’ แต่ถ้าวินิจฉัยวิธีทำแล้วก็จะรู้ว่าแพนนา คอตตาดีๆนั้น จะปรุงรสน้อยที่สุด และก็สุกแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น
กล่าวคือ ครีมดีจะถูกนำมาอุ่นนิดๆรวมกับนม คนเมล็ดวานิลลาเข้าไปพอเสริมกลิ่น เติมน้ำตาลเล็กน้อย จากนั้นเพียงใส่เจลาติน ก็เป็นอันเสร็จ เอาใส่ถ้วยเข้าตู้เย็น พออยู่ตัวแล้วก็คว่ำลงจาน เสิร์ฟได้ เรียกว่าในกระบวนขนมหวานอิตาเลียนทั้งมวลนั้น อะไรจะทำง่ายเท่าแพนนา คอตตานั้น หาได้ยาก
อย่างไรก็ดี หัวใจของแพนนา คอตตานั้น ขึ้นอยู่กับครีม ซึ่งเป็นรสประธาน จะอร่อยไม่อร่อยหรือเนื้อขนมจะละเมียดแค่ไหนก็จตัดกันตรงนี้เอง ถ้าจะให้ดี ตำราว่าต้องใช้ครีมที่ยังไม่พาสเจอไรซ์ โดยบอกอีกว่า ถ้าคิดจะใช้ครีมUHT นั้น ให้เลิกทำเสียดีกว่า
กำเนิดของแพนนา คอตตานั้นไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานกันว่าขนมนี้มาจากถิ่นพีมอนต์ หรือทางตอนเหนือของอิตาลี ซึ่งกินครีมกันมาก โดยถ้าตามสูตรดั้งเดิ เขาจะกินแพนนา คอตตากันโล้นๆ ไม่เติมผลไม้หรือเครื่องอื่นๆ หรืออย่างมากก็เพียงแต่เหยาะเหล้านิดๆพอได้กลิ่นเย็นหัวอกเท่านั้น
เครม บรูเล
CRÈME BRULEE
ถ้าเปรียบเสน่ห์ของแพนนา คอตตา เป็นดั่งละอ่อนจากเมืองเหนือของอิตาลี เครม บรูเลก็คือสาวปารีเซียนซึ่งรัญจวนใจด้วยมารยาเมือง
ทั้งนี้ก็เพราะเครม บรูเลนั้น ก็เป็นขนมจากครีมซึ่งมีวิธีการทำคล้ายๆกับแพนนา คอตตานั่นเอง เพียงแต่ในเมื่อเครม บรูเลเป็นคัสตาร์ด ไม่ใช่พุดดิ้ง การจะทำให้ครีมตั้งตัวจึงต้องใช้ไข่แดง ไม่ใช่เจลาติน นอกจากนี้แล้ว เครื่องปรุงอื่นๆของเครม บรูเลก็เหมือนแพนนา คอตตาทั้งสิ้น คือมีแค่วานิลลากับน้ำตาลสำหรับส่งรสครีมเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เครม บรูเลมีลูกเล่นหรูหราอย่างหนึ่งที่แพนนา คอตตาไม่มี กล่าวคือตอนเอาเครม บรูเลออกจากตู้เย็นนั้น ก่อนเสิร์ฟ เขาจะเอาน้ำตาลทรายแดงโรยหน้าจนทั่ว แล้วใช้ปืนพ่นไฟเผาน้ำตาลจนไหม้เป็นผิวคาราเมลเปราะๆเคลือบอยู่บนหน้า ทำให้เครม บรูเลนั้นกลายเป็นขนมที่มีทั้งความเย็นและร้อน หยุ่นและแข็ง หวานและขม รวมกันอยู่อย่างสมดุลราวกับยันต์หยินหยาง
ชื่อของเครม บรูเลนั้น ก็มาจากภาษาฝรั่งเศสซึ่งแปลว่า ครีมไหม้/Burnt Cream นั่นเอง แต่ถ้าเราจะเรียกเป็นไทยๆว่า ‘ครีมเพลิง’ ก็คงจะได้อีกเช่นกัน
เฉาก๊วย
CHIN CHOW, GRASS JELLY
ของหวานยอดนิยมของคนเอเชีย
ความจริงแล้วเฉาก๊วยก็คือเยลลี่นั่นเอง เพียงแต่แทนที่จะทำเป็นรสผลไม้ ก็ใช้ยางที่ได้จากการต้มต้นเฉาก๊วย มาผสมกับพวกแป้งเพื่อให้มันจับเป็นตัวแทน โดยจะใช้แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว แป้งมัน หรือแป้งเท้ายายม่อมก็แล้วแต่สูตรว่าใครอยากให้เนื้อเฉาก๊วยหยุ่นเหนียวเพียงใด
คนจีนเรียกเฉาก๊วยว่า ชินเฉ่า
เนื่องจากคำว่าเฉ่านั่นแปลว่า หญ้า ฝรั่งก็เลยเรียกตามคนจีนว่า Grass Jelly ทั้งที่ความจริงแล้ว เฉาก๊วยไม่ใช่หญ้า แต่เป็นต้นไม้ โดยอยู่ในวงศ์เดียวกันกับพวกสะระแหน่ หรือโหระพา ซึ่งตำราจีนจัดเป็นของฤทธิ์เย็น เวลากินเฉาก๊วยแล้วจึงรู้สึกชุ่มคอและนิยมกินในหน้าร้อน หรือถ้ามีอาการตัวร้อนและไอ อันเป็นอาการของขั้วหยาง(ร้อน) ฤทธิ์หยิน(เย็น) ของเฉาก๊วย ก็จะช่วยบรรเทาได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี จะกินเฉาก๊วยแก้ไอ ต้องกินแบบจีน คือคลุกน้ำตาลทรายแดงเฉยๆ ถ้ากินแบบไทยที่ใส่ทั้งน้ำแข็ง ใส่ทั้งขนุน ก็ตัวใครตัวมัน

ซาเคอร์ ทอร์เท
SACHER TORTE
มหาเสนาบดีแห่งปวงเค้กช็อกโกแลต
ซาเคอร์ ทอร์เท ถือกำเนิดมากว่า 180 ปีแล้ว และถือเป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อที่สุดจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ครั้งหนึ่งรัฐบาลออสเตรียยังเคยส่งซาเคอร์ ทอร์เท ก้อนยักษ์ไปพร้อมกับรัฐมนตรีต่างประเทศ เพื่อช่วยเชื่อมสัมพันธไมตรี
คำว่าทอร์เทนั้นแปลว่า เค้ก(ในภาษาอังกฤษก็ใช้คำนี้)
ส่วนซาเคอร์ เป็นชื่อสกุลของ ฟรานซ์ ซาเคอร์ (Franz Sacher) พ่อครัวฝึกหัดในวังของเจ้าชายเมตเตอร์นิชผู้จับพลัดจับพลูต้องคิดสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อรับแขกของเจ้าชายในวันที่พ่อครัวใหญ่ป่วยหนักพอดี
สูตรนี้ตกทอดมาในตระกูลซาเคอร์และได้รับการปรับปรุง ต่อมา จนเมื่อตระกูลซาเคอร์มาเปิดโรงแรม Hotel Sacher เค้กนี้ก็กลายเป็นของขึ้นชื่อของโรงแรม โดยซาเคอร์ ทอร์เท ของแท้จะต้องทำที่โรงแรมนี้เท่านั้น จะมีคู่แข่งก็แต่ซาเคอร์ ทอร์เท จากร้าน Demel อีกหนึ่งสุดยอดเบเกอรี่ของเวียนนา ซึ่งยืนยันว่าลูกชายของฟรานซ์ ทอร์เท มาพัฒนาสูตรจนสมบูรณ์ขณะมาฝึกงานในสำนักของเดอเมลนี่เอง
อย่างไรก็ดี จะเป็นซาเคอร์ ทอร์เท ของสำนักไหนก็ตาม จะต้องประกอบด้วยสามประการ คือ
หนึ่ง เป็นสปอนจ์เค้กรวไม่หวานจัด
สอง สอดไส้ด้วยชั้นแยมแอปริคอตบางเฉียบ
และสาม เคลือบด้วยไอซิ่งช็อกโกแลต ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เว้นแต่อาจเสิร์ฟพร้อมวิปครีมไม่มีน้ำตาลได้ตามสมควร
กล่าวกันว่าซาเคอร์ ทอร์เท เป็นเค้กผู้ดี จะหวานหรือขมก็เป็นไปอย่างสำรวม ดังนั้นใครที่คุ้นแต่เค้กช็อกโกแลตเนื้อข้นคลั่ก หรือทะลักไปด้วยมูสอย่างแบล็ก ฟอเรสต์ กาโตว์ ก็จะต้องผิดหวัง

ประเทศฝรั่งเศส (France)

พื้นที่

ฝรั่งเศสมีพื้นที่ 550,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก (ประมาณเกือบหนึ่งในห้าของพื้นที่ของสหภาพยุโรป) อีกทั้งยังมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่กินอาณาบริเวณกว้างขวาง (เขตเศรษฐกิจจำเพาะมีพื้นที่ทั้งสิ้น 11 ล้านตารางกิโลเมตร)
 ภูมิประเทศ
พื้นที่ประมาณสองในสามของประเทศฝรั่งเศสเป็นที่ราบ เทือกเขาที่สำคัญได้แก่ เทือกเขาแอล์ปซึ่งมียอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป คือ ยอดเขามงต์บลองก์ (Mont-Blanc) สูง 4,807 เมตร เทือกเขาปิเรเนส์ เทือกเขาจูรา เทือกเขาอาร์แดนส์ เทือกเขามาสซิฟ ซองทราลและเทือกเขาโวจช์ ประเทศฝรั่งเศสมีชายฝั่งทะเลอยู่ถึง 4 ด้าน คิดเป็นความยาวรวมทั้งสิ้น 5,500 กิโลเมตร (ทะเลเหนือ ช่องแคบอังกฤษ มหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
 ภูมิอากาศ
มี 3 แบบคือ
  1. แบบชายฝั่งทะเลตะวันตก (บริเวณตะวันตกของประเทศ)
  2. แบบเมดิเตอร์เรเนียน (ทางตอนใต้ของประเทศ)
  3. แบบภาคพื้นทวีป (ทางตอนกลางและภาคตะวันออกของประเทศ)
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
พื้นที่เกษตรกรรมและทำป่าไม้มีประมาณ 48 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็นร้อยละ 82 ของพื้นที่โดยรวมทั้งประเทศ (เฉพาะฝรั่งเศสส่วนภาคพื้นทวีป)
พื้นที่ป่ามีประมาณร้อยละ 30 และนับว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหภาพยุโรปรองจากสวีเดนและฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี 1945 พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 และถ้าพูดถึงในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
ฝรั่งเศสมีความแตกต่างไปจากประเทศอื่นๆในยุโรปเพราะมีพันธุ์ไม้มากถึง 136 ชนิด ในส่วนของสัตว์ใหญ่ก็เพิ่มจำนวนขึ้น ภายในช่วงระยะเวลา 20 ปี จำนวนของสัตว์ประเภทกวางเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า
ประเทศฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับมรดกทางธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จึงได้มีการจัดตั้ง
  • อุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง
  • ป่าสงวน 156 แห่ง
  • เขตรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ป่า 516 แห่ง
  • รวมทั้งประกาศให้พื้นที่อีก 429 แห่งเป็นเขตอนุรักษ์อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันอนุรักษ์ชายฝั่งทะเล
  • นอกจากนี้ยังมีอุทยานธรรมชาติตามภูมิภาคต่างๆ อีกกว่า 37 แห่งซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยละ 7 ของประเทศ
งบประมาณจำนวน 32 พันล้านยูโรได้รับการจัดสรรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อประชากรจะเท่ากับ 516 ยูโร ทั้งนี้ 3 ส่วน 4 ของเงินข้างต้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการบำบัดน้ำเสียและการจัดการของเสียต่างๆ
ในระดับนานาชาติ ฝรั่งเศสเป็นภาคีของสนธิสัญญาและอนุสัญญาทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ รวมทั้งอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและการแปรสภาพเป็นทะเลทราย
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.environnement.gouv.fr

เพลงชาติและคำขวัญ
ลา มาร์เซยแยส (La Marseillaise) เป็นเพลงชาติของฝรั่งเศสมาตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 1795 แต่เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า Chant de guerre pour l’armée du Rhin ซึ่งประพันธ์ขึ้นที่เมืองสตราสบูรก์เมื่อปี 1792 คำขวัญของสาธารณรัฐฝรั่งเศสคือเสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ
 ธงชาติของฝรั่งเศส
วันคริสต์มาสแต่เดิมสีน้ำเงินแดงเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังรักษากรุงปารีส ต่อมาในปี 1789 นายพลลาฟาแยตต์เพิ่มสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ นับแต่นั้นมาสีน้ำเงินขาวแดงจึงเป็นสีของธงชาติและกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันชาติ
14 กรกฎาคม
 ประชากร
  • ประชากรจำนวน 62.2 ล้านคน (ปี 2005)
  • ความหนาแน่นของประชากร 96 คนต่อตารางกิโลเมตร
  • เมืองมีประชากรมากกว่า 100,000 คนมีถึง 57 เมือง
เมืองที่มีประชากรมากที่สุดห้าอันดับแรกคือ

t1


การแบ่งส่วนการปกครอง

france-map
สาธารณรัฐฝรั่งเศสประกอบด้วย
  • ส่วนที่อยู่บนภาคพื้นทวีป (แบ่งเป็น 22 มณฑลและ 96 จังหวัด)
  • จังหวัดโพ้นทะเล (DOM) 4 จังหวัดได้แก่ กัวเดอลูป มาร์ตินิก เฟรนช์เกียนาและลา เรอูนียง
  • ดินแดนโพ้นทะเล (TOM) 5 แห่งได้แก่ เฟรนช์ โปลิเนเซีย, วาลลิสและฟูตูนา, มายอตต์, แซงต์-ปิแอร์-เอต์-มิเกอล็ง, เฟรนช์ เซาเทิร์นและแอนตาร์กติก แทร์ริทอร์รีส์
  • ดินแดนที่มีสถานภาพพิเศษอีก 1 แห่งคือ นิวแคลิโดเนีย
ประเทศฝรั่งเศส แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
  1. เทศบาล เป็นองค์การปกครองส่วนที่เล็กที่สุด จำนวนประมาณ 37,000 communes
  2. จังหวัด เป็นองค์การปกครองขนาดกลาง ในฝรั่งเศสมีจำนวนประมาณ 100 département ซึ่งรวมถึงดินแดนโพ้นทะเล 4 แห่ง คือ Martinique, Guadeloupe, Réunion และ French Guyana
  3. มณฑล เป็นองค์การปกครองที่ใหญ่ที่สุด ประเทศฝรั่งเศสมีทั้งสิ้น 26 แคว้น ประกอบด้วย (1) ภาคพื้นทวีปยุโรป (Metropolitan France) 22 แคว้น (regions) ได้แก่
    1. อาลซัส (Alsace)
    2. อากีแตน (Aquitaine)
    3. โอแวร์ญ (Auvergne)
    4. บัส-นอร์ม็องดี (Basse-Normandie)
    5. บูร์กอญ (Bourgogne)
    6. เบรอตาญ (Bretagne)
    7. ซ็องทร์ (Centre)
    8. ช็องปาญาร์แดน (Champagne-Ardenne)
    9. กอร์ส (คอร์ซิกา) (Corse)
    10. ฟร็องช์-กงเต (Franche-Comté)
    11. โอต-นอร์ม็องดี (Haute-Normandie)
    12. อีล-เดอ-ฟร็องส์ (l‘le-de-France)
    13. ล็องก์ด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon)
    14. ลีมูแซ็ง (Limousin)
    15. ลอแรน (Lorraine)
    16. มีดี-ปีเรเน (Midi-Pyrénées)
    17. นอร์-ปา-เดอ-กาแล (Nord-Pas-de-Calais)
    18. เปอีเดอลาลัวร์ (Pays de la Loire)
    19. ปีการ์ดี (Picardie)
    20. ปัวตู-ชาร็องต์ (Poitou-Charentes)
    21. พรอว็องซาลป์โกตดาซูร์ (Provence-Alpes-Cóte d’Azur)
    22. โรนาลป์ (Rhóne-Alpes)

ส่วนที่อยู่บนภาคพื้นทวีป

ภาคเหนือ
มณฑล/แคว้นเมืองหลวงข้อมูลโดยทั่วไป
Nord-Pas de Calais
(นอร์ด-ปาส์-เดอ-กาเลส์)
 Lille (ลีลล์)
เมืองหลวงของแคว้นนี้ได้ถูกยกให้เป็นเมืองวัฒธรรมของยุโรปในปี 2004 และ และยังเป็นเป็นเมืองแรกในฝรั่งเศสที่มีรถไฟใต้ดิน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งผลิตเบียร์คุณภาพเนื่องจากภูมิประเทศเหมาะสมกับการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์
อาหารที่ขึ้นชื่อของแคว้นนอร์ด-ปาส์-เดอ-กาเลส์คือ หอยแมลงภู่อบกับมันฝรั่งทอด และซุปปลากับไก่แกล้มเบียร์รสเลิศ
สถานที่สำคัญและน่าสนใจในปา-เดอ-กาเลส์ได้แก่ มหาวิหารนอเทรอดามแห่งบูลอญ, มหาวิหารนอเทรอดามแห่งออแมร์ และสุสานโนเทรอดามแห่งลอแร็ต
แคว้นนี้มี 2 จังหวัด ดังนี้ นอร์ด และ ปาส์-เดอ-กาเลส์
Picardie
(ปีการ์ดี)
Amiens(อาเมียง)
เป็นแคว้นที่มีขุมทรัพทย์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติเป็นสำคัญ มีแหล่งธรรมชาติที่น่าเที่ยวอีกนับไม่ถ้วน ทั้งป่าไม้และชายทะเล ไปจนถึงผาหินชอล์กที่งามสะดุดตา ที่สำคัญ แคว้นปีการ์ดีเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปะโกธิค เห็นได้จากวิหารต่าง ๆในแคว้นที่มีชื่อเสียงคือ มหาวิหารโนเทรอดามแห่งอาเมียงส์ (Amiens Cathedral) และโบสถ์ซึ่งสร้างแบบป้อมปราการที่ เมืองติเยราช (Thiérache)
นอกจากนี้ยังมีอาหารตำรับเก่าแก่ที่ถูกสืบทอดกันมาให้ชิมอีกหลายชนิด ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน ถือว่าเป็นแคว้นแห่งศิลปะโกธิคอย่างแท้จริง
แคว้นนี้มี 3 จังหวัด ดังนี้ ไอสน์, อวส และซอมม์
ภาคตะวันตก
มณฑล/แคว้นเมืองหลวงข้อมูลโดยทั่วไป
 La Basse-Normandie(บาสนอร์มองดี)
 Caen (ก็อง)
เป็นแคว้นที่มีชายฝั่งทะเลตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ชายฝั่งทางเหนืองติดกับอ่าวม๊องช์ (Manche) มีความสวยงามทั้งในด้านศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ รวมทั้งเรื่องอาหารการกินโดยเฉพาะมีชื่อเสียงด้านเนยสดและเนยแข็ง ครีมสดข้นมัน ไส้กรอกเครื่องในของเมืองก็อง (Caen) รวมทั้งเป็นแหล่งพัฒนาอุตสาหกรรมม้าที่สำคัญ เช่น การเพาะพันธุ์ม้า พัฒนาพันธุ์ม้า การจัดการแข่งขันม้า การสอนขี่ม้า และการฝึกม้า
แคว้นนี้มี 3 จังหวัด ดังนี้ กัลวาโดส์, มองช์, ออร์น
La Haute-Normandie
(โอตนอร์มองดี)
 Rouen (รูออง)
เป็นแคว้นที่มีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ซึ่งเหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงก็จะเป็นพวกม้าและวัว ซึ่งม้าและวัวของที่นี่ถือว่าเป็นม้าและวัวที่ดีที่สุดของประเทศฝรั่งเศส
เป็นแหล่งผลิตเนยแข็งที่มีชื่อเสียง เช่น กามองแบร์ ปงเลเวต และเป็นแหล่งปลูกแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อยของฝรั่งเศส จึงมีน้ำผลไม้ที่ขึ้นชื่อก็คือ น้ำแอปเปิ้ล
แคว้นนี้ยังเป็นเมืองอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อนั่นคือ Le Mont-Saint-Michel ซึ่งเป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่มีสถาปัตยกรรมแบบโรมันสร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล
แคว้นนี้มี 2 จังหวัด ดังนี้ เออร์, แซน-มารีตีม
Bretagne
(เบรอตาญ)
 Rennes (แรน)
เป็นแคว้นที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในทางมหาสมุทรแอตแลนติค และเป็นแคว้นเดียวในฝรั่งเศษที่ไม่มีการปลูกองุ่นเนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม แต่มีการประมงเป็นหลักเพราะติดทะเล มีเมืองท่าที่สำคัญชื่อว่า Brest
ผู้คนที่มาเยี่ยมแคว้นนี้จะต้องไม่พลาดที่จะเข้าร่วมงานพิธีสำคัญ พิธี Pardon (ซึ่งมีพิธีมิสซาที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้คนแต่งกายชุดประจำแคว้นเดินแห่แหนไปตามถนน) หรือเทศกาลเซลติค ย้อนอดีตอันยาวนานของชาวเบรอตาญ เบรอตาญเมีชื่อเสียงด้านอาหารทะเล น้ำไซเดอร์ ไวน์แอ๊ปเปิ้ลหอมหวาน และแครปต้นตำรับ แคว้นนี้มี 4 จังหวัด ดังนี้
โกตส์-ดามอร์, อีลล์-เอต์-วีแลน, มอร์บีออง และฟีนีสแตร์
Pays de Loire
(เปย์เดอลาลัวร์)
 Nantes (น็องต์)
แคว้น Pays de Loire มีปราสาทต่าง ๆ สวยงามมากมาย เป็นเมืองที่มีผลผลิตทางเกษตรที่สำคัญของฝรั่งเศส นั่นคือ ข้าวสาลี, ข้าวโพด, ไร่องุ่น และเหล้าองุ่นขาว ที่สำคัญเป็นแคว้นที่มีชื่อเสียงด้านไร่องุ่นคุณภาพดี เนื่องด้วยมีอากาศที่อบอุ่นและได้ความชุ่มชื้นจากมหาสมุทร และยังเป็นแหล่งของอาหารชั้นเลิศอีกหลายชนิด เช่น Rillettes หมูบดปรุงรสพิเศษ ไก่เนื้อแน่น ปลาน้ำจืดเนื้อนุ่ม นอกจากนี้ยังเป็นแดนสวรรค์ของการล่องเรือ เพราะมีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เช่น แม่น้ำลัวร์ แมน ซาร์ธ มาแยน
ในปี ค.ศ. 2004 นิตยสารไทม์บรรยายน็องต์ว่าเป็น “เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในบรรดาเมืองต่างๆ ในยุโรป
แคว้นนี้มี 5 จังหวัด ดังนี้ ลัวร์-อาตลองตีก, มาแยนน์, แมน-เอ-ลัวร์, ซาร์ตและว็องเด
Centre
(ซ็องทร์)
 Orléans (ออร์เลอ็อง)
เป็นแคว้นที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวปราสาทที่สวยงามริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ เช่น Chambord, Blois, Azay-le-Rideau, Chenonceau นอกจากนี้ยังมีวิหารแห่งเมือง Bourges และ Chartres ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังได้รับสมญานามว่าเป็นอุทยานของฝรั่งเศสเพราะ มีอุทยานแห่งชาติถึง 3 แห่ง (Brenne, Perche และ Loire-Anjou-Touraine)
แคว้นนี้มี 6 จังหวัด ดังนี้ แชร์, เออร์-เอ-ลัวร์, แอ็งดร์, แอ็งดร์-เอต์-ลัวร์, ลัวร์-เอต์-แชร์ และ ลัวเรต์
Poitou-Charentes
(ปัวตู-ชารองต์)
Poitiers(ปัวตีเย)
มีชายทะเลแสนวิเศษและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญ ที่นี่เป็นแหล่งผลิตเมรัยกลั่นรสละมุนหอมกรุ่นชื่อคอนยัค ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ยังเป็นแคว้นที่มีวิถีชีวิตขนบธรรมเนียมแบบดั้งเดิม และเป็นที่เก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมแบบโรมันที่เก่าแก่และทรงคุณค่าในอารามโบราณ เช่นที่เมือง Alnay, Saint-Savin ตลอดจนถึงเมืองสำคัญอย่าง Poitiers
นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานเทคโนโลยีเพื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งอนาคตดังปรากฎเป็นรูปธรรมในสวนสนุกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต Futuroscope
แคว้นนี้มี 4 จังหวัด ดังนี้ ชารองต์, ชารองต์-มารีตีม, เดอซ์-แซฟวร์ และ เวียนน์
ภาคกลาง
 มณฑล/แคว้น เมืองหลวง ข้อมูลโดยทั่วไป
Limousin
(ลีมูแซง)
Limoges(ลีมอฌ)
เป็นแคว้นที่มีวิวทิวทัศน์ตามธรรมชาติตลอดทั้งพื้นที่ ทางทิศตะวันตกของแคว้นเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา การเกษตรคืออาชีพหลักของคนในแคว้น เช่น การเลี้ยง วัว แพะ แกะ
นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่อง ทางด้านเครื่องกระเบื้อง แคว้นนี้มี 3 จังหวัด ดังนี้ กอร์แรซ, เกริซ และโอต-เวียนน์
Auvergne
(โอแวร์ญ)
 Clermont-Ferrand
(แกลร์มง-แฟร็อง)
เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญ เป็นแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติและเป็นสถานที่เหมาะสมยิ่งสำหรับกีฬากลางแจ้งหลายประเภท และมีของดีประจำแคว้นนั่นคือ เนยแข็งคุณภาพของพื้นเมืองแท้ ๆ
นอกจากนี้ยังมีอุทยานแห่งชาติแหล่งภูเขาไฟในโอแวร์ญเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อุทยานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วซึ่งเรียงรายกันถึง 80 ลูกและกินระยะทางถึง 35 กิโลเมตร
แคว้นนี้มี 4 จังหวัด ดังนี้ อัลลีเยร์, กองตาล, โอต-ลัวร์ และ ปุย-เดอ-โดม
ILe-de-France
(อีล เดอ ฟร็องส์)
 Paris (ปารีส)
ตั้งอยู่บริเวณกลางประเทศเยื้องไปทางทิศเหนือ อิล-เดอ-ฟรองซ์เป็นชื่อแคว้นที่ตั้งของนครปารีสซึ่งเป็นนครแห่งแสงสี สวรรค์ของคู่รัก ศูนย์กลางการออกแบบและแฟชั่นของโลก มหานครทันสมัยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง อีกทั้งยังเป็นแคว้นที่มีสถานที่อยู่อาศัยและธรรมชาติที่สวยงานทั้งหมู่บ้าน Vallées de Chevreuse หรือป่าไม้ที่ Rambouillet(ร็องบุยเย่ต์) นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญหลาย ๆ แห่ง อาทิเช่น พระราชวังแวร์ซายด์ แคว้นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของวิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสโดยแท้
แคว้นนี้มี 8 จังหวัด ดังนี้ เอสซอนน์, โอต์-เดอ-แซน, ปารีสม, แซน-แซงต์-เดอนีส์, แซน-เอต์-มาร์น, วาล-เดอ-มาร์น, วาล-ดวส และอีฟลีนส์
Rhone-Alpes
(โรห์น-อัลป์)
 Lyon (ลียง)
แคว้นโรนาลป์ได้ชื่อมาจากแม่น้ำโรนและเทือกเขาแอลป์ แคว้นที่มีเมืองหลวงที่ลียง ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับที่สองของประเทศ รองลงมาจากกรุงปารีส นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกอีกด้วย นั่นคือยอดเขา มงบล็อง
ดังนั้นโรห์น-อัลป์จึงเป็นดินแดนแห่งภูเขาสูงเสียดฟ้าเป็นสวรรค์ของนักไต่เขาและผู้ที่ชอบกีฬาฤดูหนาว นอกจากนี้โรห์นอัลป์ยังเป็นแหล่งเล่นสกีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แคว้นนี้มี 8 จังหวัด ดังนี้ แอ็ง, อาร์แดช, โดรม, อีแซร์, ลัวร์, โรน, ซาวัว และ โอต-ซาวัว
ภาคตะวันออก
 มณฑล/แคว้น เมืองหลวง ข้อมูลโดยทั่วไป
Bourgogne
(บูร์กอญ)
 Dijon (ดีฌง)
เป็นที่รู้จักในนาม เบอร์กันดีเป็นแคว้นที่มีอารามเก่าแก่สมัยโรมัน และหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของแคว้น นอกจากนี้ยังมีอาหารชื่อดังทั้ง ไก่อบเหล้า, หอยทากอบ และไวน์ชั้นเลิศที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อาทิ ชองแบร์แต็ง, โกลส์-วูโฌต์ โรมาเน่ ก็งตี หรือ กอร์ตง
ที่โดดเด่นมากคือ อารามเก่าแก่แห่งเมืองกลูนี เวเซอเลย์ โอตัวและตูร์นูส์
แคว้นนี้มี 4 จังหวัด ดังนี้ ยอนน์, โกต-ดอร์, นีแอฟวร์ และ ซาโอน-เอ-ลัวร์
Franche-Comté
(ฟร็องช์-กงเต)
 Besacon (เบอซ็องซง)
แคว้นนี้ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Bourgogne และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีผลผลิตที่สำคัญอาทิเช่น ข้าวสาลี, ขนมปัง, เครื่องเทศ และนาฬิกาชั้นนำมักจะถูกผลิตจากที่นี่เป็นสินค้าส่งออก
สินค้าที่มีชื่อเสียงคือ เนยแข็งจากก็งเต้ หมูแฮมตำรับดั้งเดิม ไวน์จากจูราหลายชนิด
นอกจากนี้ยังมีโบสถ์ Chapelle de Ronchamp ซึ่งออกแบบโดย Le Corbusier สถาปนิกผู้รังสรรค์งานล้ำยุค
แคว้นนี้มี 3 จังหวัด ดังนี้ ดูบส์, โอต-โซน, ฌูรา และแตร์รีตัวร์ เดอ เบลฟอร์ต
Alsace
(อาลซัส)
 Strasbourg
(สทราซบูร์)
เป็นแคว้นติดกับประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ แคว้นอัลซาสมีชื่อเสียงทางด้านอาหาร โดยเฉพาะ ชูครุต (Choucroüte) กะหล่ำปลีดองที่รับประทานกับไส้กรอกและหมูแฮมนานาชนิด ขนมปังเนยสดอบกับลูกเกดและอัลมอนด์ และที่ขาดไม่ได้คือไวน์ขาวของชาวอัลซาสที่ขึ้นชื่ออย่างมาก
นอกจากนี้เมืองสทราซบูร์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นอาลซักเป็นที่ตั้งของรัฐสภายุโรป ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่สวยงามมีเสน่ห์ รวมทั้งยังมีวิหารประจำเมืองที่สร้างด้วยหินทรายสีชมพูงามโดดเด่น
แคว้นนี้มี 2 จังหวัด ดังนี้ บาส์-แรง และ โอต์-แรง
Lorraine
(ลอแรน)
 Metz (แม็ส)
เป็นแคว้นที่มีเขตแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์กและเยอรมัน ซึ่งในอดีตเป็นแคว้นที่ถูกรุกรานจากกองทัพมากมาย จนในปัจจุบันถูกตั้งให้เป็นเมืองของศูนย์กลางเพื่อสันติภาพโลก นอกจากนี้ยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า อาทิเช่นจตุรัสสตานีสลาซ (Place Stanislas) วิหารประจำเมืองเม็ตซ์ (Metz)ซึ่งถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และตั้งอยู่ในเมืองน็องซี (Nancy)
ลอแรน แหล่งรวมช่างศิลป์ เพราะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในการผลิตแก้วคริสตัล เครื่องกระเบื้อง และไวโอลิน
แคว้นนี้มี 3 จังหวัด ดังนี้ เมิร์ต-เอต์-โมเซลล์, เมิซ, โมเซลล์ และโวช์ส
Champagne-Ardenne
(ช็องปาญาร์แดน)
 Châlons-en-Champagne
(ชาลงอองชองปาญ)
แคว้นนี้เป็นถิ่นกำเนิดและแหล่งผลิตของแชมเปญระดับโลกสัญลักษณ์ของงานฉลองและความสำเร็จ
นอกจากแชมเปญแล้วยังมีอาหารที่ขึ้นชื่อหลากหลายชนิดเช่น หมูแฮมอาร์เดน ไส้กรอกบูแด็งขาว เห็ดทรัฟเฟิล และเนยแข็ง
นอกจากนี้เมืองนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของราชประเพณีราชาภิเษกกษัตริย์ฝรั่งเศสที่สืบต่อกันมาอีกยาวนาน มีวิหารสำคัญประจำเมือง มีธรรมชาติที่เหมาะกับการพักผ่อนออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาทางน้ำ
แคว้นนี้มี 3 จังหวัด ดังนี้ โอบ, อาร์แดนน์และ โอต-มาร์น
ภาคใต้
 มณฑล/แคว้น เมืองหลวง ข้อมูลโดยทั่วไป
Aquitaine
(อากีแตน)
 Bordeaux (บอร์โด)
แคว้นนี้ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกและเทือกเขาพิเรนีส ติดกับพรมแดนประเทศสเปนมีสินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ไวน์แดง และแฮม (จากเมืองบายอน)
 มีหาดทรายสีทองกว้างใหญ่และชายทะเลดึงดูดนักโต้คลื่นจากทั่วโลก แคว้นนี้มีอาหารขึ้นชื่อหลากหลายเมนู เช่น หอยนางรมสดแกล้มไวน์ขาวรสเข้ม ไข่เจียวกับเห็ดทรัฟเฟิลหอมอร่อย
ที่สำคัญคือเป็นแหล่งปลูกองุ่นที่มีคุณภาพจึงเป็นแคว้นที่ผลิตไวน์คุณภาพรสเลิศที่สุดของฝรั่งเศส
แคว้นนี้มี 4 จังหวัด ดังนี้ ดอร์ดอญ ,ชีรงด์ ลองด์ ,โลต์-เอ-การอนน์ และ ปีเรเนส์-อาต์ลองตีก
Midi-Pyrénées
(มีดี-ปีเรเน)
Toulouse(ตูลูซ)
ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส มีเมืองตูลูสเป็นเมืองหลวง และแคว้นนี้ยังเป็นแหล่งผลิตเหล้าอาร์มาญยัค สถานที่จัดงานเทศกาล Jazz in Marciac ที่มีชื่อเสียง
เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและได้ชื่อว่าเป็นที่ที่ผู้คนอยู่ดีที่สุด เนื่องจากพื้นที่ที่กว้างขวางของแคว้นได้รวมไว้แต่ของดี ๆ อากาศที่สดใส ผู้คนที่สนุกสนาน จึงเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อน และหลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง
แคว้นนี้มี 8 จังหวัด ดังนี้ อาแรช, อาวีรง, แชร์ส, โอต-การอนน์, โอตส์-ปีเรเนส์, โลต์, ตาร์น และ ตาร์น-เอต์-การอนน์
Lanquedoc-Roussillon
(ล็องก์ด็อก-รูซียง)
 Montpellier
(มงแปลีเย)
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายแดนติดกับอิตาลี เป็นแดนสวรรค์ของนกฟลามิงโกสีชมพู ในเขตนี้มีแสงแดดสดใสเกือบตลอดทั้งปี
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของแคว้นนี้ ได้แก่ ม็งต์เปลิเย่ นีมส์ การ์กาสซอน อูแซสหรือสะพาน Pont du Gard (องค์ยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก) Site ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญ และเมือง Agen เป็นเมืองตากอากาศ
แคว้นนี้มี 5 จังหวัด ดังนี้ โอด, การ์ด, เอโรลต์, โลแซร์ และ ปีเรเนส์-โอเรียงตาลส์
Provence-Cote d’Azur
(โปรวองซ์-อัลป์-โกต ดาซูร์)
 Marseille
(มาร์แซย์)
มีสภาพภูมิประเทศที่งดงามหลากหลายทั้งน้ำทะเล ที่ราบลุ่มเขียวขจีที่กามาร์ค (Camarque) ไร่องุ่นที่โวกลูซ (Vaucluse) ดินแดนที่ราบสูงของโอตต์-โปร์วองซ์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ศิลปินและนักประพันธ์หลายคน อาทิเช่น แวนโก๊ะ หรือ ปีกัสโซ, Marcel Pagnol, Auguste Renoirและ Francis Scott Fitzgerald เลือกที่จะมาหาแรงบันดาลใจและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ถือเป็นดินแดนศิลปินที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ
 แคว้นนี้มี 6 จังหวัด ดังนี้ อัลป์-เดอ-โอต-โปรวองซ์, อัลป์-มารีตีมส์, บูชส์-ดู-โรน, โอตส์-อัลป์, วาร์ และ โวกลูส
Corse
(กอร์ส)
 Ajaccio
(อาฌักซีโย)
กอร์ซหรือคอร์ซิกาได้รับสมญาว่า เกาะแห่งความงามด้วยธรรมชาติหลากสีสัน เป็นดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ สภาพภูมิประเทศของที่นี่มีทุกรูปแบบจากภูเขาจนถึงทะเล คุณสามารถชมความงามของทั้งภูเขาและทะเล บ้านเรือนพื้นเมืองงามแปลกตาที่ Morianincu โบสถ์และภาพเฟรสโก้ที่ Bozu วิถีชีวิตแบบคนเลี้ยงสัตว์ที่ Vanachese และ Noilu และด้วยความสวยงามของบ้านเรือนและธรรมชาติ แคว้นแห่งนี้จึงเป็นอีกสถานที่ที่ผู้คนนิยมมาเที่ยวและพักผ่อน
แคว้นนี้มี จังหวัดเดียวคือ กอร์ส-ดู-ซูด
La Haute-Normandie
(โอตนอร์มองดี)
 Rouen (รูออง)
เป็นแคว้นที่มีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ซึ่งเหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงก็จะเป็นพวกม้าและวัว ซึ่งม้าและวัวของที่นี่ถือว่าเป็นม้าและวัวที่ดีที่สุดของประเทศฝรั่งเศส
เป็นแหล่งผลิตเนยแข็งที่มีชื่อเสียง เช่น กามองแบร์ ปงเลเวต และเป็นแหล่งปลูกแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อยของฝรั่งเศส จึงมีน้ำผลไม้ที่ขึ้นชื่อก็คือ น้ำแอปเปิ้ล
แคว้นนี้ยังเป็นเมืองอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อนั่นคือ Le Mont-Saint-Michel ซึ่งเป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่มีสถาปัตยกรรมแบบโรมันสร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล
แคว้นนี้มี 2 จังหวัด ดังนี้ เออร์, แซน-มารีตีม
การปกครอง
การเมืองการปกครอง ระบบการปกครอง- ประชาธิปไตยในรูปแบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
สาธารณรัฐฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐเดี่ยวกึ่งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2501 โดยผ่านการลงประชามติ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญนั้นคือการเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี อำนาจฝ่ายบริหารนั้นถูกแบ่งออกและมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งก็คือประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงแบบสากล มีวาระ 5 ปี (เดิม 7 ปี) มีตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอีกด้วย และนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
รัฐสภาฝรั่งเศสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée Nationale) และ วุฒิสภา (Sénat) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนในเขตเลือกตั้ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและเสียงข้างมากในสภาสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลอีกด้วย สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะผู้เลือกตั้ง มีวาระ 6 ปี (เดิม 9 ปี)
เงินตราฝรั่งเศส : สกุลยูโร (€)
เหรียญ 1€ =100 Cents
money11
money2money3corn